fbpx
SD Card, Micro SD

เมมโมรี่การ์ด แบบ SD Card และ แบบ MicroSD Card ต่างกันยังไง?

ทุกคนอาจจะรู้จัก เมมโมรี่การ์ด เป็นอย่างดีใช่ไหมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ ไฟล์เสียง และไฟล์ต่างๆ เมมโมรี่การ์ดเป็นสิ่งที่สะดวก พกพาไปได้ง่ายทุกที่ ทุกวันนี้มีเมมโมรี่การ์ดมากมายหลายประเภท หลากหลายการใช้งานแตกต่างกันไป แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าเมมโมรี่การ์ดแต่ละประเภทนั้น ต่างกันยังไง แล้วควรเลือกใช้เมมโมรี่การ์ดแบบไหนให้ตรงกับการใช้งานของตัวเอง เริ่มต้นจากการดูลักษณะภายนอกของการ์ด ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนหน้าการ์ด หรือลักษณะการใช้งาน มาตรฐานต่างๆ วันนี้ผมจะมาให้คำตอบเพื่อนๆทุกคนครับ กับบทความ ” เมมโมรี่การ์ดแบบ SD Card และ แบบ MicroSD Card ต่างกันยังไง? “


เมมโมรี่การ์ดแบบ SD Card กับ MicroSD Card

เมมโมรี่การ์ดที่เราเห็นกันอยู่ในท้องตลาดนั้น เรามักจะเห็นอยู่ 2 ประเภทในปัจจุบัน นั่นก็คือ SD Card และ Micro Card การ์ด 2 ประเภทนี้ มีข้อแตกต่างกันในด้านของการใช้งาน และอุปกรณ์ที่รองรับ ผมจะมาบอกถึงข้อแตกต่างระหว่าง 2 ชนิด ดังนี้ครับ

  • SD Card อันนี้จะตัวใหญ่หน่อย เราจะเห็นมันบ่อยๆ ในกล้องดิจิทัล กล้องวิดีโอ หรืออุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเยอะๆ และมีช่องใส่ที่ใหญ่พอสมควรนั่นเองครับ
  • microSD อันนี้จะจิ๋วหลิวกว่าแบบแรกเยอะมากๆ เล็กกว่าแสตมป์อีกครับ ด้วยความที่มันเล็กจิ๋ว เลยเหมาะกับอุปกรณ์ที่เราต้องการความกะทัดรัดมากๆ เช่น ในสมาร์ทโฟนที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน เครื่องเล่นเกมอย่าง Nintendo Switch, หรือจะเป็นกล้อง อย่าง DJI

ทั้งสองแบบนี้ทำหน้าที่เหมือนกันคือเก็บข้อมูล แต่ต่างกันที่ขนาด เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในอุปกรณ์ที่แตกต่างกันนั่นเองครับ

เมมโมรี่การ์ด

ภาพแสดงถึงขนาดความกว้างและความยาวของ SD Card และ MicroSD Card


ถึงแม้ว่าบางอุปกรณ์จะรองรับแค่ SD การ์ดทั่วไปเท่านั้น แต่เราก็สามารถนำ Micro SD การ์ดมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์เหล่านั้นได้ครับ นั่นก็คือตัวแปลงจาก Micro SD เป็น SD Card เพียงแค่เสียบเข้าไปกับตัวแปลง แค่นี้ก็เหมือนว่าเรากำลังใช้ SD Card แล้วครับ ซึ่งในแพคเกจสินค้าของ Suneast ก็จะมีแถมมาให้ใช้งานครับผม

แปลง MicroSD Card เป็น SD Card

ภาพแสดงถึงการแปลง MicroSD Card เป็น SD Card



เมมโมรี่การ์ด SD Card และ microSD มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการตามความจุที่แตกต่างกันไป

การเรียกชื่อ SD, SDHC, SDXC ต่างกันนั้นมาจากการแบ่งมาตรฐานของ SD Card ตามความสามารถในการรองรับความจุที่แตกต่างกัน โดย SD Association ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานของ SD Card ได้กำหนดมาตรฐานเหล่านี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อรองรับความต้องการในการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต

ชื่อของการ์ดแต่ละแบบเรียกแตกต่างกัน

  • SD (Secure Digital) เป็นมาตรฐานดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1999 มีความจุสูงสุดอยู่ที่ 2 GB หรือน้อยกว่า ระบบไฟล์ที่ใช้มักจะเป็น FAT12 หรือ FAT16 ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้วเนื่องจากความจุน้อยและหาซื้อยาก
  • SDHC (Secure Digital High Capacity) เป็นมาตรฐานที่พัฒนาต่อจาก SD ในปี 2005 เพื่อรองรับความจุที่สูงขึ้น โดย มีความจุตั้งแต่ 4 GB ถึง 32 GB ระบบไฟล์ที่ใช้คือ FAT32 อุปกรณ์ที่รองรับ SDHC จะสามารถใช้ SD Card แบบ SD ดั้งเดิมได้ด้วย
  • SDXC (Secure Digital eXtended Capacity) เป็นมาตรฐานที่พัฒนาต่อจาก SDHC ในปี 2009 เพื่อรองรับความจุที่สูงขึ้นไปอีก โดย มีความจุตั้งแต่ 64 GB ถึง 2 TB

เหตุผลที่ต้องมีการเรียกเมมโมรี่การ์ด 2 ประเภทนี้ต่างกัน

การพัฒนาทางเทคโนโลยี การเพิ่มความจุมักมาพร้อมกับการพัฒนาด้านความเร็วในการอ่าน – เขียนข้อมูลด้วย (แม้ว่าจะมีการแบ่ง Class ความเร็วแยกต่างหาก) การกำหนดมาตรฐานใหม่จึงเป็นการสะท้อนถึงการพัฒนาโดยรวมของการ์ดหน่วยความจำ

ความจุที่เพิ่มขึ้น เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถผลิตการ์ดที่มีความจุสูงขึ้นได้เรื่อยๆ การกำหนดชื่อใหม่เป็นการบ่งบอกถึงขีดจำกัดความจุที่เพิ่มขึ้น

ระบบไฟล์ที่แตกต่างกัน การ์ดแต่ละมาตรฐานใช้ระบบไฟล์ที่แตกต่างกันเพื่อรองรับความจุที่เพิ่มขึ้น (เช่น FAT12/16 สำหรับ SD, FAT32 สำหรับ SDHC, และ exFAT สำหรับ SDXC) การตั้งชื่อแยกกันช่วยให้ผู้ใช้และผู้ผลิตอุปกรณ์เข้าใจว่าการ์ดแต่ละประเภทต้องใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับระบบไฟล์นั้นๆ

ความเข้ากันได้ (Compatibility) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นมาจะรองรับมาตรฐานของ SD Card ที่แตกต่างกัน การตั้งชื่อที่ชัดเจนช่วยให้ผู้ใช้เลือกซื้อการ์ดที่เข้ากันได้กับอุปกรณ์ของตนเองได้ง่ายขึ้น (โดยทั่วไป อุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐานใหม่กว่าจะสามารถใช้การ์ดมาตรฐานเก่าได้ แต่การ์ดมาตรฐานใหม่กว่าจะไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับแต่มาตรฐานเก่าได้)

มาตรฐานของ SD Card

ความจุที่แตกต่างกัน ทำให้การเรียกชื่อมาตรฐานของ SD ต่างกัน


มาตรฐาน และข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนฉลากของ เมมโมรี่การ์ด

สติ้กเกอร์ที่แปะอยู่ด้านหน้าของเมมโมรี่การ์ดนั้นมีความหมาย และเป็นข้อมูลที่สำคัญมากๆ ในการเลือกใช้กับงานของเพื่อนๆ เพราะการ์ดแต่ละประเภทนั้น หลายชนิดก็ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ร่วมกันได้หลากหลายการใช้งาน แต่บางชนิดก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับงานที่มีความเฉพาะ ดังนั้นข้อมูลบนการ์ดจึงมีความสำคัญมากเพื่อให้ตรงกับการใช้งาน มาดูกันครับ ว่าสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนเมมโมรี่การ์ดนั้นบอกข้อมูลอะไรบ้าง

ข้อมูลบน SD Card

ภาพตัวอย่างการแสดงข้อมูลบน SD Card


การแสดงข้อมูลบน MicroSD Card

ภาพตัวอย่างการแสดงข้อมูลบน MicroSD Card


สัญลักษณ์ UHS Interface คืออะไร?

UHS Interface ย่อมาจาก Ultra High Speed ซึ่งเป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟซบัส (bus interface) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลของการ์ดหน่วยความจำ SD โดยเฉพาะการ์ด SDHC และ SDXC

พูดง่ายๆ คือ UHS Interface เป็น “ช่องทาง” หรือ “ถนน” ที่ทำให้ข้อมูลจากการ์ด SD สามารถวิ่งไปมาระหว่างการ์ดกับอุปกรณ์ (เช่น กล้องดิจิทัล, โทรศัพท์มือถือ, หรือคอมพิวเตอร์) ได้เร็วขึ้นอย่างมาก เพื่อรองรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูงในปัจจุบัน เช่น

  • การถ่ายภาพต่อเนื่อง (Burst Mode) ช่วยให้กล้องสามารถบันทึกภาพถ่ายหลายภาพติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะไฟล์ภาพขนาดใหญ่ เช่น RAW
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง เช่น วิดีโอ 4K หรือ 8K ที่ต้องการอัตราการเขียนข้อมูลที่สูงและต่อเนื่อง
  • การถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น การย้ายไฟล์ภาพและวิดีโอจากกล้องไปยังคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว

ประเภทของ UHS Interface

UHS Interface มีหลายเวอร์ชัน ซึ่งบ่งบอกถึงความเร็วสูงสุดที่รองรับ

  • UHS-I เป็นเวอร์ชันแรกของ UHS รองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 104 MB/s
UHS-I

  • UHS-II เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมาก โดยสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุด 312 MB/s ความแตกต่างที่สำคัญคือ UHS-II มีแถวขาเชื่อมต่อ (pins) เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแถว ซึ่งใช้เทคโนโลยี Low Voltage Differential Signaling (LVDS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล
UHS-II


UHS Speed Class คืออะไร?

UHS Speed Class คือมาตรฐานความเร็วที่ถูกกำหนดขึ้นสำหรับการ์ดหน่วยความจำประเภท SD (Secure Digital) โดยเฉพาะการ์ดที่รองรับอินเทอร์เฟซบัสแบบ UHS (Ultra High Speed) ซึ่งมาตรฐานนี้ถูกคิดค้นและดูแลโดย SD Association (องค์กรที่กำหนดมาตรฐานและพัฒนาเทคโนโลยี SD Card ทั่วโลก)

วัตถุประสงค์หลักของ UHS Speed Class คือการ รับประกันความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำ ที่การ์ดหน่วยความจำ SD สามารถทำได้เมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่รองรับ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้จะได้รับประสิทธิภาพของสเปคตามการใช้งานของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบันทึกข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และต้องการความเร็วสูง เช่น การถ่ายภาพต่อเนื่อง (Burst Mode Photography), การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง (Full HD, 4K UHD, 8K) และ การถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่จากกล้องหรืออุปกรณ์ไปยังคอมพิวเตอร์

มาตรฐาน UHS Speed Class

UHS Speed Class มีสองระดับหลักที่พบเห็นได้บ่อย คือ

  1. UHS Speed Class 1 (สัญลักษณ์: U1)
    • รับประกันความเร็วในการเขียนขั้นต่ำที่ 10MB/s (เมกะไบต์ต่อวินาที)
    • เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การบันทึกวิดีโอ Full HD (1080p), การถ่ายภาพนิ่งทั่วไป และการใช้งานกับสมาร์ทโฟน
  2. UHS Speed Class 3 (สัญลักษณ์: U3)
    • รับประกันความเร็วในการเขียนขั้นต่ำที่ 30MB/s (เมกะไบต์ต่อวินาที)
    • เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูงกว่า เช่น การบันทึกวิดีโอ 4K UHD (Ultra High Definition), การถ่ายภาพต่อเนื่องที่มีความละเอียดสูง และการใช้งานกับกล้องระดับโปร

จุดสังเกตุบนฉลากสติ้กเกอร์บน เมมโมรี่การ์ด

บนตัวการ์ดหรือบรรจุภัณฑ์ คุณจะเห็นสัญลักษณ์เป็นตัวอักษร “U” ที่มีเลข 1 หรือ 3 อยู่ข้างใน เพื่อบ่งบอกถึง UHS Speed Class

จุดสังเกตุสัญลักษณ์ของ UHS Speed Class

จุดสังเกตุสัญลักษณ์ของ UHS Speed Class


Minimum Guaranteed Video Speed Class

ก่อนเราได้คุยเรื่อง UHS Speed Class (U1, U3) ไปแล้ว ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำของการ์ด SD ที่ใช้บัสอินเทอร์เฟซแบบ UHS คราวนี้มาถึง Minimum Guaranteed Video Speed Class หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Video Speed Class (V-Class) กันบ้างครับ

Minimum Guaranteed Video Speed Class คืออะไร?

Video Speed Class (V-Class) เป็นมาตรฐานความเร็วล่าสุดที่ถูกกำหนดโดย SD Association (องค์กรเดียวกับที่กำหนด UHS Speed Class) เพื่อรับประกันความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำที่ต่อเนื่อง (minimum sustained write speed) ของการ์ด SD สำหรับการบันทึกวิดีโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิดีโอความละเอียดสูงมากๆ อย่าง 4K, 8K, วิดีโอ 360 องศา, VR (Virtual Reality) หรือการบันทึกแบบหลายสตรีมพร้อมกัน

ความแตกต่างที่สำคัญของ V-Class กับ Speed Class (C Class) และ UHS Speed Class (U Class)

  • เน้นการบันทึกวิดีโอโดยเฉพาะ V-Class ถูกออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าการ์ดสามารถจัดการกับการเขียนข้อมูลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบันทึกวิดีโอที่ไม่มีการหยุดชะงักหรือเฟรมตก (dropped frames)
  • รับประกันความเร็วขั้นต่ำที่สูงขึ้น มาตรฐาน V-Class มีระดับความเร็วที่สูงกว่าและครอบคลุมความต้องการของวิดีโอความละเอียดสูงในปัจจุบันและอนาคต
  • รองรับเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ มาตรฐานนี้ยังคำนึงถึงเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลชรุ่นใหม่ๆ เช่น 3D NAND ที่มีความสามารถในการเขียนข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้น

ระดับของ Video Speed Class และความเร็ว

V-Class มีสัญลักษณ์เป็นตัวอักษร “V” ตามด้วยตัวเลข ซึ่งตัวเลขนั้นคือความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำที่รับประกันในหน่วย MB/s (เมกะไบต์ต่อวินาที) มีดังนี้

  • V10 : รับประกันความเร็วในการเขียนขั้นต่ำที่ 10MB/s (เทียบเท่ากับ Class 10 และ U1)
  • V30 : รับประกันความเร็วในการเขียนขั้นต่ำที่ 30MB/s (เทียบเท่ากับ U3)
  • V60 : รับประกันความเร็วในการเขียนขั้นต่ำที่ 60MB/s

ตัวอย่างการใช้งาน

  • V10 เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอ Full HD (1080p) หรือการใช้งานทั่วไป
  • V30 เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอ 4K UHD (Ultra High Definition)
  • V60 / V90 เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอ 4K และ 8K ที่ต้องการบิตเรตสูงมาก การถ่ายวิดีโอ Slow-motion คุณภาพสูง หรือการบันทึกวิดีโอแบบมืออาชีพ
Video Speed Class

จุดสังเกตุสัญลักษณ์ของ Video Speed Class

ตารางช่วยให้ผู้ใช้เลือกการ์ดหน่วยความจำที่เหมาะสมกับการบันทึกวิดีโอตามความละเอียดที่ต้องการ โดยพิจารณาจาก Video Speed Class และความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำที่การ์ดนั้นๆ รับประกัน

ตารางช่วยให้ผู้ใช้เลือกการ์ดหน่วยความจำที่เหมาะสมกับการบันทึกวิดีโอตามความละเอียดที่ต้องการ โดยพิจารณาจาก Video Speed Class และความเร็วในการเขียนข้อมูลขั้นต่ำที่การ์ดนั้นๆ รับประกัน


จำนวนรูปภาพ และ ระยะเวลาของวิดีโอต่อขนาดพื้นที่เมมโมรี่การ์ด

ตารางนี้บอกข้อมูลเกี่ยวกับการประมาณจำนวนภาพและวิดีโอที่สามารถจัดเก็บได้ในพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดต่างๆ ตั้งแต่ 64GB ถึง 1TB โดยแบ่งตามประเภทของไฟล์

จำนวนรูปภาพ และ ระยะเวลาของวิดีโอต่อขนาดพื้นที่เมมโมรี่การ์ด


Application Performance Class

Application Performance Class คือมาตรฐานใหม่ที่กำหนดขึ้นมาสำหรับ MicroSD Card โดยเฉพาะ เพื่อระบุถึงประสิทธิภาพของการ์ดในการรองรับการรันแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ที่ใช้ Android Adopted Storage Device

เดิมทีการ์ดหน่วยความจำจะเน้นเรื่องความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Sequential Read/Write) ซึ่งเหมาะกับการเก็บรูปภาพ วิดีโอ หรือไฟล์ขนาดใหญ่ แต่สำหรับการรันแอปพลิเคชันนั้นต้องการความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลแบบสุ่ม (Random Read/Write) สูง เพื่อให้แอปพลิเคชันสามารถเปิดใช้งาน และประมวลผลได้อย่างราบรื่น

Application Performance Class

ตารางแสดงความเร็วของ Application Performance Class


สรุป

เพื่อนๆได้อ่านบทความแล้ว เป็นยังไงกันบ้างครับ ผมเชื่อว่าได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย เช่นเรื่องความแตกต่างหลักระหว่าง SD Card กับ Micro SD Card คือ ขนาดทางกายภาพ โดย SD Card มีขนาดใหญ่กว่า Micro SD Card อย่างชัดเจน ทำให้ SD Card มักถูกใช้ในอุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่เสียบการ์ดที่ใหญ่กว่า เช่น กล้อง DSLR และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ในขณะที่ Micro SD Card ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก เหมาะสำหรับอุปกรณ์พกพาที่มีพื้นที่จำกัด เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โดรน และกล้องแอคชั่นแคม แม้จะมีขนาดต่างกัน แต่ทั้งสองประเภทสามารถมีมาตรฐานความจุและความเร็วในการอ่าน / เขียนข้อมูลที่เหมือนกันได้ หากเพื่อนๆสนใจเมมโมรี่การ์ด จะซื้อเมมโมรี่การ์ดเมื่อไหร่ ก็สามารถใช้บทความนี้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้เลยนะครับ ซึ่งหากไม่รู้จะไปหาแบรนด์ไหนดี เรา Advanced Photo Systems ก็มีเมมโมรี่การ์ด ทั้งแบบ SD Card และ MicroSD Card มาแนะนำด้วยนะครับ นั่นก็คือแบรนด์ Suneast แบรนด์เมมโมรี่การ์ดจากญี่ปุ่น ที่มีการรับรองมาตรฐานระดับสากล แถมไม่พอ ยังได้รับรางวัล DGP Imagine 2024 อีกด้วย คลิกดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยครับ คลิก

สอบถามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/advancedphotosystems เราพร้อมยินดีให้บริการด้วยใจครับ


ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้เพื่อการวิเคาะห์ จะเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้บนเว็บไซต์ของเรา เพื่อประโยชน์ในการนำไปปรับปรุงเนื้อหา และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด

    คุกกี้จะทำการปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย จะทำการส่งข้อมูลความสนใจในเนื้อหาที่ผู้ใช้ได้อ่าน หรือมีกิจกรรมร่วมกันกับเนื้อหานั้น เพื่อนำส่งโฆษณาสินค้าที่ผู้ใช้อาจสนใจ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า