จัดแสงยังไงให้หน้าใสผิวสวยแบบ beauty lighting ด้วยไฟ LED สตูดิโอ (เนียนเหมือนหลุดมาจากแอปฯ) เคล็ดลับฉบับเต็ม!
หลายครั้งก็งงว่าแต่งหน้ามาอย่างดี แต่ทำไมตอนถ่ายรูปสีหน้าดูแปลกๆไม่เนียนใสเหมือนตั้งใจ เงาลงหน้าเยอะ พออัดไฟแรงๆแสงดันแข็งภาพดูแบนไปอีก!
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการจัดแสงที่ไม่เหมาะสมด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น องศา ระยะทาง ตัวกระจายแสง ความแม่นยำสี และ ตัวสะท้อนแสง
วันนี้เราจะพาคุณไปไขเคล็ดลับการจัดไฟให้หน้าใสด้วยเทคนิคจัดแสงแบบ Clamshell กับไฟเพียง 1-2 ดวง พร้อมด้วยรายละเอียดแบบแน่นๆ ที่จะทำให้หน้าของคุณดูใส, มีสีสันและมีมิติที่น่ามอง เนียนกริ๊บเหมือนหลุดออกมาจากแอปเลยครับ
ปัญหาของแสงแข็ง VS เงาบนใบหน้า
• แสงแข็งเกิดจาก?
แสงที่ส่องตรงมาที่ใบหน้าโดยไม่มีการกระจายแสงจาก SoftBox จะทำให้เกิดเงาที่เข้มและคมชัด ซึ่งจะเน้นริ้วรอยและจุดบกพร่องบนใบหน้า เหมือนเวลาถ่ายรูปตอนเที่ยงวัน แดดเปรี้ยงๆ นั่นแหละ ตัวดีเลย!
• เงาบนใบหน้าเกิดจาก ?
การเฉลี่ยแสงที่ไม่บาลานซ์กันบนใบหน้า เช่น ถ้าคุณถ่ายรูปในห้องที่มีเพียงไฟเพดานซึ่งมีทิศทางแสงจากด้านบนเพียงแหล่งเดียว ภาพที่ได้จึงทำให้เกิดเงาใต้คาง วิธีลบเงาบนใบหน้าคือบาลานซ์แสงโดยการเติมแสงใต้คางเข้าไปโดยมีองศาและอุปกรณ์ที่เหมาะสมครับเท่านั้นเลย
เดี๋ยวไปลงรายละเอียดและวิธีการแก้ปัญหาแสงแข็งและเงาบนใบหน้ากันครับ
5 beauty lighting Solution จัดแสงให้หน้าใส
- องศาและตำแหน่งไฟ
- ตัวสะท้อนแสง (Reflector)
- ตัวกระจายแสง (SoftBox)
- ระยะห่าง
- ความแม่นยำสี (Color Index) **สำคัญมากก**
เทคนิคจัดแสงแบบ Clamshell เพื่อลดเงาบนใบหน้า
บทความนี้เราจะแนะนำให้ใช้เทคนิคการจัดไฟแบบ Clamshell เหมาะกับสายบิวตี้ที่เน้นความเนียนใสของใบหน้า โดยจำลองทิศทางของแสงสองแหล่งที่คล้ายกับเปลือกหอยที่อ้าอยู่โดยวางตำแหน่งไฟที่จุดกึ่งกลางของแบบ จากด้านบนและด้านล่างเพื่อบาลานซ์แสงบนใบหน้า ช่วยลดเงา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็จะดูจางลงไปด้วยครับ
1. องศาและตำแหน่งของไฟ
Key Light (ไฟบน) : วางไฟหลักทำมุมประมาณ 45 องศากับตัวแบบ และให้ Softbox อยู่สูงกว่าระดับสายตาเล็กน้อย เพื่อให้แสงส่องลงมาที่ใบหน้าและสร้างเงาใต้จมูกและคางเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้า
Fill Light (ไฟล่าง) : วางไว้ด้านล่างตรงข้ามกับไฟหลัก เพื่อสะท้อนแสงขึ้นมาลดเงาใต้คางและทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น
สิ่งสำคัญของการจัดไฟแบบ Clamshell คือการบาลานซ์ไฟทั้งสองดวงให้พอเหมาะ ดูใสมีมิติ แต่ไม่สว่างจนใบหน้าดูแบนราบเกินไป ซึ่งการจัดไฟแบบ Clamshell สามารถปรับใช้จาก Fill Light(ไฟล่าง) เป็นแผ่นสะท้อนแสงได้ซึ่งก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่แตกต่างกัน
2. Reflector vs Fill Light : เลือกแบบไหนดี ?
Fill Light (ไฟล่าง)
ข้อดี : ควบคุมแสงได้ง่าย ปรับความสว่างและมุมได้ตามต้องการ
ข้อเสีย : ราคาแพงกว่า ต้องใช้พื้นที่ในการจัดวาง
เหมาะสำหรับ : งานที่ต้องการความละเอียดสูง หรือต้องการควบคุมแสงและเงาได้อย่างแม่นยำ
Reflector (แผ่นสะท้อนแสง)
ข้อดี : ราคาถูก ใช้งานง่าย พกพาสะดวก
ข้อเสีย : ควบคุมแสงได้ยาก อาจทำให้เกิดแสงสะท้อนที่ไม่ต้องการ
เหมาะสำหรับ : ผู้เริ่มต้น หรืองานที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก
รู้ไหมครับว่าแผ่นสะท้อนแสงมีผ้าที่นิยมใช้ 3 แบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละแบบก็จะให้แสงสีที่มีความแตกต่างกันออกไป เช่น
สีขาว : ให้แสงที่นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการถ่ายภาพทั่วไป
สีเงิน : ให้แสงที่สว่างและคมชัดกว่าสีขาว เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการเพิ่มความสว่างให้กับตัวแบบ
สีทอง : ให้แสงที่อบอุ่น เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการสร้างบรรยากาศโรแมนติก หรือถ่ายภาพผิวแทน
3. ตัวกระจายแสง (Softbox)
Softbox คืออุปกรณ์สำคัญที่ช่วยกระจายแสง ทำให้แสงนุ่มนวลขึ้น และลดเงาที่แข็งกระด้างบนใบหน้า ลองนึกภาพว่าแสงจากไฟเป็นเหมือนน้ำที่ไหลออกมาจากท่อ ถ้าไม่มี Softbox น้ำก็จะพุ่งออกมาแรงๆ แต่ถ้ามี Softbox น้ำก็จะกระจายออกไปทั่ว ทำให้แสงที่ได้นุ่มนวลและสบายตา
เลือก Softbox แบบไหนดี ?
สำหรับเทคนิค Clamshell แนะนำให้ใช้ Softbox ขนาดกลางถึงใหญ่ เพื่อให้แสงกระจายทั่วใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ยิ่ง Softbox ใหญ่ แสงก็จะยิ่งนุ่มนวล
รูปทรงแบบไหนดี ?
- ทรงสี่เหลี่ยม (Square)
มีการเกลี่ยแสงที่คมเข้ม ทิศทางของแสงเป็นแนวยาวเหมาะกับการถ่ายภาพขนาดกว้างหรือเต็มตัว
- ทรงกลม (Dome)
ให้แสงที่กลมและนุ่มนวลกว่าทรงสี่เหลี่ยม ช่วยเพิ่มแสงให้ดวงตาดูมีชีวิตเหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการความละมุน
- ซาลาเปา (Lantern)
กระจายแสงได้ในรัศมีที่กว้าง เกลี่ยแสงได้นุ่มนวลเนียนกว่าแบบอื่น แต่มีข้อเสียเรื่องการควบคุมทิศทางแสงที่ยากกว่า
▶️ Amaran Softbox แบบและรูปทรงต่างๆ ที่น่าสนใจ ◀️
กำลังไฟที่เหมาะสมกับขนาด Softbox ?
“ข้อสำคัญในการจัดแสงให้ดูนุ่มคือการเลือก Softbox ที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งขนาดใหญ่แสงยิ่งนุ่ม”
งั้นเอา SoftBox ขนาดใหญ่ที่สุดเลยแสงจะได้ออกมานุ่มที่สุดได้ไหมคำตอบคือ ได้ครับ..แต่ขณะเดียวกันคุณต้องเพิ่มกำลังไฟให้มากตามขนาดของ SoftBox ด้วยเนื่องจากสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กัน เช่น
เมื่อเราเปรียบเทียบใช้ไฟ 300W กับ SoftBox ที่มีขนาดต่างกันเช่น 60 และ 90 cm. ผลลัพธ์คือ
300W + 60 cm. = แสงเข้มกว่า,กระจายแสงน้อยกว่า
300W + 90 cm. = แสงอ่อนกว่า,กระจายแสงมากกว่า
โดยทั่วไป ไฟ LED สตูดิโอขนาด 150-300 วัตต์ จะเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล แต่ถ้าไม่แน่ใจ ก็สามารถลองปรับกำลังไฟดูได้ตามความเหมาะสมครับ
4. ระยะห่างที่เหมาะสมช่วยให้แสงนุ่มลดเงา
การวางไฟในระยะที่เหมาะสมส่งผลต่อความสว่างและความนุ่มนวลของแสงหลักง่ายที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยคือ
“ยิ่งวางไฟใกล้แบบมากเท่าไหร่แสงยิ่งนุ่ม”
ระยะห่างไฟกับตัวแบบ: ประมาณ 1-2 เมตร ขึ้นอยู่กับขนาดของ Softbox และกำลังไฟ ถ้าไฟอยู่ใกล้เกินไป แสงอาจจะแรงเกินไปและทำให้เกิดเงาที่ไม่ต้องการ
ระยะห่างไฟกับฉากหลัง: ประมาณ 2-3 เมตร เพื่อให้ได้แสงที่สม่ำเสมอลดเงาบนฉากหลัง ถ้าไฟอยู่ใกล้ฉากหลังเกินไปอาจจะทำให้เกิดเงาหรือเกิดแสงที่ฉากหลังมากจนเกินไป
5. ผิวสวยใสด้วยความแม่นสี (Color Index)
บอกเลยว่าอย่าตกม้าตายกับหัวข้อนี้เพราะนี่คือปัจจัยที่จะช่วยให้ภาพของคุณมีไดนามิกของแสงและสีที่สมจริง! หนึ่งหัวข้อสำคัญที่จะช่วยลดความเพี้ยนสีและยังช่วยให้กระบวนการ Post Production ของคุณเร็วกว่าเดิมอีกโขครับ
เคยไหมครับที่แต่งหน้ามาอย่างเนียนทา eyes shadow อย่างสวยแต่รูปที่ออกมาไม่ได้ให้สีสันหรือแสงได้ใกล้เคียงกับที่ตาเห็นเลย
ดัชนีชี้วัดสี (Color Index) คือสิ่งที่สามารถอธิบายสิ่งนี้ได้ครับหากคุณใช้ไฟสตูดิโอ LED ที่มี Color Index ต่ำสีผิวและสีของเครื่องสำอางอาจเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทำให้ภาพที่ออกมาดูเหมือนธรรมชาติลงโทษ
แต่เดี๋ยวก่อนครับ Color Index ในไฟสตูดิโอ LED ที่ผมกำลังกล่าวถึงนี้ ปัจจุบันมีอยู่หลายมาตรฐานด้วยกันเริ่มตั้งแต่ CRI, TLCI, TM30 จนถึง SSI (มาตรฐานใหม่ล่าสุด)
อ้างอิง : oscars.org/science-technology
แล้วเราต้องดูมาตรฐานตัวไหน Color Index ตัวไหนดี ?
ซึ่งในตลาดไฟสตูดิโอ LED คุณจะเห็นแบรนด์ต่างๆ educate ค่า CRI และ TM30 กันจนชินตา..แต่ค่าเดียวที่เราต้องดูเลยคือ SSI (Spectral Similarity Index) ค่าเดียวเท่านี้เลยจริงๆครับเนื่องด้วย
- CRI วัดผลที่ 8 สี
- TLCI วัดผลที่ 24 สี
- TM-30 วัดผลที่ 99 สี
- SSI วัดผลแบบ Full Spectrum
เอาแบบสั้นๆเลยคือ CRI, TLCI หรือ TM 30 เป็นดัชนีชี้วัดตัวเก่าที่มีการวัดผลของสีในจำนวนน้อยขณะเดียวกัน SSI (Spectral Similarity Index): วัดความใกล้เคียงของสเปกตรัมของแหล่งกำเนิดแสงกับแสงอาทิตย์ ยิ่งค่า SSI สูง แสดงว่าสีที่ได้มีความแม่นยำดูสมจริงสูง
เคล็ดลับ : สำหรับ beauty blogger ที่ต้องการความแม่นยำของสี ควรเลือกใช้ไฟที่มีค่า SSI สูง เพื่อให้ได้สีที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด จะได้รีวิวสีลิปสติก สีบลัชออน ได้อย่างมั่นใจครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม amaran LED Studio Lighting ความแม่นยำสีมาตรฐาน SSI
สรุป : เคล็ดลับหน้าใส ไม่ง้อแอปฯ
การจัดแสงที่ดีคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ภาพถ่ายของคุณดูสวยงามและเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคนิค Clamshell และการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม คุณก็สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่หน้าใส เนียนกริ๊บ เหมือนหลุดออกมาจากแอปฯ แต่งรูปได้ง่ายๆ แม้จะมีไฟเพียงดวงเดียว!
• แสงคือหัวใจสำคัญ : เลือกใช้ไฟที่มีคุณภาพ และจัดแสงให้เหมาะสมกับตัวแบบ
• Softbox ช่วยให้แสงนวล : อย่าลืมใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อกระจายแสง
• Clamshell คือเพื่อนแท้ : เทคนิคนี้ช่วยให้หน้าใสไร้เงา
• ฝึกฝนและทดลอง : ค้นหาสไตล์ที่เป็นตัวคุณ
อย่าลืมว่า การฝึกฝนและทดลองเป็นสิ่งสำคัญ ลองปรับเปลี่ยนมุมกล้อง ระยะห่าง และกำลังไฟ เพื่อค้นหาสไตล์ที่เหมาะกับคุณที่สุด แล้วคุณจะพบว่า การถ่ายภาพสวยๆ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!